|
ก่อนขุดมีความอุดมสมบูรณ์เป็นแหล่งวางไข่ของสัตว์น้ำหลายชนิด |
|
หลังขุดลอกความอุดมสมบูรณ์ได้หายไปแหล่งเพาะพันธุ์ปลาของคนลุ่มน้ำตอนล่างกับคนลุ่มน้ำตอนกลางได้หายไปเดือดร้อนกันนับ1000 ครอบครัวไม่มีใครแก้ปัญหาไห้ชาวบ้านเลย |
|
คลองย่อยที่เคยมีปลาชุกชุม ก็กลายเป็นผักตบ ผักกะเฉดน้ำก็เน่า แล้วจะเอาปลาปูที่ ไหนกินกันครับที่ต้องเปิดเผยความจริงก็เพราะว่า วันนี้ชาวบ้านหมดเงิน หมดงานหมดแหล่งจับ ปู ปลา กุ้ง ไม่มีรายได้เหมือนเมื่อก่อน เห็นใจประชาชนส่วนใหญ่ด้วยครับ ผู้ที่เกี่ยวข้อง กับประตูระบายน้ำ ปากพนังเขาไม่ได้เดือดร้อน เพราะว่าเขามีเงินเดือน พอแก่ตัวไปก็มี บำเหน็จบำนาญ แต่ชาวบ้านไม่มีบำเหน็จบำนาญ แล้วจะอยู่กันอย่างไร |
อาจารย์ ปรีชา เปี่ยมพงศ์สานต์ จากสำนักคิดเศรษฐศาสตร์การเมือง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้เสนอไว้อย่างลุ่มลึกและกว้างไกลใน หนังสือเศรษฐศาสตร์การเมือง (เพื่อชุมชน) 14 ว่า ท่ามกลางกระบวนการของโลกาภิวัตน์ การขยายตัวของทุนนิยมโลก (ระบบบูชากลไกการตลาดอย่างสุดขั้ว) และเทคโนโลยีสมัยใหม่ เราก็ยิ่งเห็นวิกฤติการณ์ทางสิ่งแวดล้อมของธรรมชาติ วิกฤติทางสังคม ความยากจน ความอดอยากหิวโหย และความไม่เท่าเทียมกันทางเศรษฐกิจสังคมทั่วโลก วิกฤติของโลกชีวิตดังกล่าวล้วนมีต้นตอมาจากที่เดียวกัน นั่นคือ วิกฤติการณ์ของวิธีการมองโลก (Crisis of Perception) โลกทัศน์ ระบบคิด วิธีคิด ความเชื่อ หรือเรียกรวมๆว่าพาราไดม์ของเราซึ่งดำรงอยู่ในขณะนี้ ล้มเหลวอย่างมากในการสร้างความรู้ ความเข้าใจ และการแก้ไขปัญหาต่างๆ ที่โลกเรากำลังพบอยู่ ในช่วงสุดท้ายของศตวรรษที่ 20 เราได้พบเห็นว่า มีการเคลื่อนไหวใหม่ๆ เกิดขึ้นในวงวิทยาการ ในการแสวงหาระบบคิดใหม่ๆ ผู้คนในวงการต่างๆริเริ่ม "เคลื่อนไหวสังคม" อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนทั้งในโลกที่หนึ่งและโลกที่สาม เพื่อหาความหมายของชีวิตใหม่ ดำเนินวิธีการดำรงชีวิตแบบใหม่ สร้างเครือข่ายใหม่ๆ มีวิชั่นใหม่ๆ เพื่อสร้างพื้นฐานใหม่ให้แก่อนาคตของเราเอง
ผลจากการที่มีวิธีการมองโลกที่แตกต่างกันระหว่างชาวบ้านและนักวิชาการหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐที่จบการศึกษาจากสถาบันการศึกษาของรัฐที่ลอกแบบมาจากโลกตะวันตกทำให้ชุมชนลุ่มน้ำปากพนังกำลังตกอยู่ในวิกฤติทางสิ่งแวดล้อมของธรรมชาติ ดังเช่นเหตุการณ์น้ำเสียในแม่น้ำปากพนังจากการปิดกั้นระบบนิเวศของแม่น้ำทำให้ปลาตายนับแสนตัว เมื่อวันที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2547 อันเนื่องมาจากวิธีการมองโลก วิธีการจัดการทรัพยากรธรรมชาติ ที่แตกต่างกันดังกล่าว ตัวอย่างเช่น
1. จากกิจกรรมที่ผมได้ลงพื้นที่ทำการวิจัยร่วมกับสถาบันการศึกษาต่างๆ เช่น มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ มหาวิทยาลัยราชภัฎนครศรีธรรมราช กรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อมกระทรวงทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม องค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญเช่น องค์กรสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ แม้แต่องค์กรเอกชนในพื้นที่ เช่น สมาคมเพื่อนเกลอเทือกเขาหลวง ชมรมอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมอำเภอปากหนัง เครือข่ายองค์กรชุมชนลุ่มน้ำปากพนัง เป็นต้น ปรากฎว่าข้อมูลที่ได้จากชาวบ้านมีความแตกต่างจากข้อมูลของกรมชลประทาน เพราะชาวบ้านส่วนใหญ่ต้องการอาชีพที่ผสมผสานสอดคล้องกับระบบนิเวศของลุ่มน้ำที่สมบูรณ์อยู่แล้ว เช่น ทำนาปีละครั้งและผสมผสานกับอาชีพประมงพื้นบ้านในคลองและอาชีพที่เป็นผลผลิตจากต้นจากซึ่งเป็นพืชเศรษฐกิจที่สำคัญ กล่าวคือในหนึ่งครัวเรือนสามารถประกอบอาชีพได้อย่างหลากหลายตามฤดูกาลซึ่งอาจเรียกตามภาษาทางวิชาการว่า การผลิตแบบเชิงซ้อน (อานันท์ กาญจนพันธ์) ส่วนการผลิตแบบเชิงเดียวนั้นได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่ามิใช่เป็นการพัฒนาที่ยั่งยืน โดยสรุปก็คือ ชาวบ้านก็มิได้ปฏิเสธการทำนาแต่เห็นว่าการทำนาเพื่อการค้านั้นขาดทุน ส่วนพื้นที่ที่ทำปีละหลายครั้งก็มีทำกันอยู่ซึ่งมีระบบชลประทานเข้าไปช่วยก็ดีแล้ว แต่จะอยู่ไกลจากแม่น้ำปากพนังซึ่งสามารถเก็บน้ำในคลองซอยไว้ใช้ได้และถ้าน้ำไม่พอก็สามารถสร้างแหล่งน้ำเพิ่มได้อีกหลายวิธีที่ต้นทุนองค์รวมต่ำกว่าการปิดแม่น้ำปากพนังบริเวณใกล้ปากแม่น้ำเพื่อต้องการน้ำจืด (อันที่จริงแล้วในตอนแรก ประตูระบายน้ำจะอยู่ที่บริเวณตำบลแม่เจ้าอยู่หัว อำเภอเชียรใหญ่) เพราะฉะนั้นข้อสมมุติฐานที่จะให้ลุ่มน้ำปากพนังผลิตข้าวทั้งลุ่มน้ำไม่สอดคล้องกับความเป็นจริงและที่สำคัญก็คือ ถ้ามองในมิติทางเศรษฐศาสตร์แล้วผลผลิตข้าวที่ได้มาทั้งลุ่มน้ำจะไม่คุ้มกับระบบนิเวศและอาชีพอื่นที่สูญเสียไป ข้อสังเกตุที่สำคัญอีกประการหนึ่งก็คือ แม่น้ำปากพนังนอกจากไม่มีความลาดชันแล้ว ยังเป็นแอ่งอยู่ที่อำเภอเชียรใหญ่และถ้าหากต้องการจะเก็บน้ำไว้ใช้ให้ได้ระดับตามที่ต้องการ น้ำก็จะท่วมอำเภอเชียรใหญ่ ซึ่งจะสังเกตเห็นได้ชัดว่าเมื่อเกิดวิกฤติบริเวณล่างประตูระบายน้ำทางกรมชลประทานก็ไม่สามารถระบายน้ำลงมาเพื่อบรรเทาปัญหาวิกฤติได้เพราะระดับน้ำในประตูระบายน้ำกับนอกประตูระบายน้ำมีระดับที่ใกล้เคียงกัน เมื่อเปิดประตูระบายน้ำ น้ำที่ไหลช้าไม่สามารผลักน้ำเสียออกไปสู่ป่าชายเลนซึ่งเป็นบ่อบำบัดน้ำเสียตามธรรมชาติได้
2. ในขณะที่กรมชลประทานมองว่าน้ำท่วมเป็นเรื่องผิดปกติจึงต้องสร้างประตูระบายน้ำเพื่อกันน้ำท่วม แต่ชาวบ้านกลับมองว่าน้ำท่วมเป็นเรื่องปกติ เพราะน้ำที่ท่วมจะนำสัตว์น้ำจากแหล่งเพาะพันธุ์ปลาตามธรรมชาติ คือ ป่าพรุ หรือกรมประมงของชาวบ้าน ปลาเหล่านั้นก็จะมาอยู่ในแม่น้ำ ห้วย หนอง คลอง บึงให้ชาวบ้านจับขายเป็นอาชีพประมงพื้นบ้านผสมผสานกับการทำนา และถ้าจะมีไร่นาสวนผสมบ้างก็สามารถสร้างแหล่งเก็บน้ำจืดเป็นจุดๆ ไปตามความต้องการของในแต่ละพื้นที่ มิใช่มาปิดแม่น้ำปากพนังอย่างนี้ ขอโอกาสให้ชาวบ้านช่วยร่วมคิดกับท่านบ้าง แล้วทิศทางการพัฒนาจะสมบูรณ์กว่านี้ ชาวบ้านฝากมาอีกว่า น้ำท่วมในแต่ละปีนั้นจะพัดพาเอาปุ๋ยตามธรรมชาติมาอยู่ในนา เมื่อน้ำแห้งก็ไถนาได้ง่ายและลดต้นทุนค่าปุ๋ย ไม่ว่าจะเป็นปุ๋ยเคมีหรือปุ๋ยชีวภาพ เป็นต้น และที่สำคัญคือเมื่อใช้ปุ๋ยเคมีนานวันเข้าก็จะทำให้ดินดานหรือดินแข็ง ไถพรวนได้ยากมาก
3. ในขณะที่กรมชลประทานมองว่าน้ำเค็มรุกเข้าไปในแม่น้ำปากพนังเป็นเรื่องผิดปกติจึงต้องสร้างประตูระบายน้ำเพื่อกันน้ำเค็มรุก แต่ชาวบ้านกลับมองว่าน้ำเค็มรุกเป็นเรื่องปกติเพราะเป็นระบบนิเวศน้ำกร่อยที่มีประโยชน์ เช่น มีสัตว์น้ำกร่อยตามธรรมชาติที่ราคาสูงกว่าสัตว์น้ำที่ราชการส่งเสริมให้เลี้ยง และมีแนวโน้มจะให้เลี้ยงสัตว์เหมือนกับภาคกลางชาวบ้านก็เป็นห่วงว่าเมื่อสินค้ามีมากราคาก็จะตก สัตว์น้ำกร่อยเริ่มจะหายากและมีราคาแพง น่าสนใจนะครับ และเหตุการณ์น้ำเค็มรุกเมื่อปี พ.ศ. 2532 นั้นเป็นปรากฏการณ์ตามธรรมชาติที่บอกเราหรือเตือนเราว่า ป่าไม้ข้างบนภูเขาซึ่งเป็นพื้นที่ผลิตน้ำจืดตามธรรมชาติเหลือน้อยและไม่สามารถผลิตน้ำจืดในปริมาณมากพอมาผลักน้ำเค็มที่รุกได้ กล่าวคือธรรมชาติเตือนเราให้เร่งอนุรักษ์และฟี้นฟูป่าต้นน้ำ เพราะฉะนั้นเมื่อช่วยกันเรียกความอุดมสมบูรณ์ของป่าต้นน้ำกลับคืนมาได้ ประตูระบายน้ำที่มีอยู่แล้วก็สามารถเปิด-ปิด ให้สอดคล้องกับระบบนิเวศลุ่มน้ำปากพนังที่แตกต่างจากลุ่มน้ำอื่นได้ หรือที่ชาวบ้านพูดว่านายธรรมชาติ ณ ระบบนิเวศ บริหารจัดการลุ่มน้ำได้ดีอยู่แล้วและไม่ต้องเสียเงินเดือนหรือค่าจ้าง
4. แหล่งน้ำจืดสำหรับสำหรับผลิตน้ำประปาเพื่อประชาชนนั้นมีอีกหลายวิธีที่ประหยัดงบประมาณและไม่ทำลายระบบนิเวศน้ำกร่อยดังที่ปิดกั้นแม่น้ำปากพนัง เช่น ขุดแหล่งน้ำรวมของแต่ละ อบต. หรือหลาย อบต. ที่ใกล้เคียงเป็นแหล่งน้ำรวม และขุดคลองซอยเพิ่มขึ้นอีกเพื่อเก็บกักน้ำจืดซึ่งมีประตูระบายน้ำเล็กๆ ตัวเดิมที่มีอยู่แล้วบริหารจัดการ หรือแม้กระทั่งขุดคลองสายใหม่ที่เก็บกักน้ำขนานกับแม่น้ำปากพนังเป็นแม่น้ำอีกสายโดยไม่ต้องปล่อยน้ำลงทะเลและคงสภาพแม่น้ำปากพนังเดิมไว้ก็จะสอดคล้องกับแนวคิดได้ทั้งหมด (Win-Win) ก็จะไม่มีใครเสียหรือถ้าเสียก็เสียน้อยที่สุด มิใช่แนวคิดได้ต้องอย่างเสียอย่าง ซึ่งเคยใช้อธิบายกับชาวบ้านดังในอดีตที่ผ่านมา สุดท้ายชาวบ้านก็เป็นผู้เสียสละเพื่อการพัฒนาที่ไม่ยั่งยืน และชาวบ้านเชื่อว่าระบบชลประทานขนาดเล็กมีประโยชน์แต่มิใช่ด้วยวิธีการปิดแม่น้ำอย่างที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน
5. ประเด็นที่เป็นห่วงเรื่องนากุ้งนั้น ชาวบ้านให้ความเห็นว่า ไม่ต้องไปทำอะไรหรอกเพราะการเลี้ยงแบบหนาแน่นที่หวังร่ำรวยอย่างรวดเร็วนั้นในระยะยาวไม่สามารถทำได้ เพราะเมื่อเกิดโรคก็ต้องใช้สารเคมีที่มีราคาแพง อาหารก็มีราคาสูง ทำให้ต้นทุนการผลิตสูงไม่สามารถแข่งกับราคากุ้งธรรมชาติหรือเลี้ยงแบบธรรมชาติได้หรือแม้กระทั่งแข่งกับกุ้งต่างชาติได้ แม้รัฐบาลประกันราคาก็ประกันอยู่ได้ในระยะสั้นเท่านั้น ทางออกก็คือ ต้องเลี้ยงให้ต้นทุนต่ำบนพื้นฐานของความไม่โลภ
6. ประเด็นเรื่องคลองลัดที่ขุดเพื่อให้น้ำไหลเวียนบริเวณล่างประตูระบายน้ำนั้น ถ้าน้ำไหลแรงอาจจะช่วยได้ แต่วิกฤติที่จะตามมาก็คือ น้ำที่ไหลเวียนนั้นเป็นน้ำเค็มจัดแน่นอน ป่าชายเลนซึ่งเป็นระบบนิเวศน้ำกร่อยและเป็นแหล่งอาหารที่สำคัญของนกแอ่นในปากพนังพร้อมทั้งเป็นหม้อข้าวของชาวบ้านรอบอ่าวปากพนัง ก็จะเสื่อมโทรมและตายในที่สุด ผลที่มนุษย์เข้าไปจัดการกับระบบนิเวศสุ่มน้ำในมุมมองเพียงมิติทางเศรษฐกิจเพียงด้านเดียวโดยผ่านวาทกรรมความยากจนที่ผ่านมา ท้ายที่สุดอาจจะเพิ่มความยากจนขึ้นในลุ่มน้ำปากพนังได้เช่นกัน เพราะเท่าที่ศึกษาดูแล้วโครงการต่างๆ ที่รัฐบาลสนับสนุนนั้นเป็นโครงการที่มีต้นทุนสูงและต้องได้รับการสนับสนุนจากรัฐเท่านั้นจึงจะทำได้ แล้วชาวบ้านที่ต้องการเศรษฐกิจพอเพียงและพึ่งตนเองจะอยู่ได้หรือ สิ่งที่ผมชี้แจงมานั้นต้องขอขอบคุณชาวลุ่มน้ำปากพนังที่ให้ข้อมูลในเชิงลึกในขณะที่ลงทำการวิจัยในพื้นที่ และขอยืนยันว่าการคิดแทนชาวบ้านนั้นในที่สุดความหวังดีก็จะกลายเป็นความหวังร้ายได้เช่นกัน